วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตัวหยอดเหรียญSG9แบบทุกเหรียญ ตอน11วัดดิบทรานซิสเตอร์ในวงจรด้วยมิเตอร์เข็ม



ตัวหยอดเหรียญSG9แบบทุกเหรียญ ตอน11วัดดิบทรานซิสเตอร์ในวงจรด้วยมิเตอร์เข็ม
9/8/2558 SONGCHAI PRAPATRUNGSEE
ตัวหยอดเหรียญSG9แบบทุกเหรียญ ตอน11วัดดิบทรานซิสเตอร์ในวงจรด้วยมิเตอร์เข็ม

การซ่อมต้องใส่รองเท้า และห้ามเปียกน้ำ
และห้ามมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
แตะถูกตัวนำไฟฟ้า
เพราะอันตรายอาจถึงชึวิตได้

ตัวหยอดเหรียญSG9แบบหยอดได้ทุกเหรียญสามารถโปรแกรมเหรียญได้เองเมื่อมีเหรียญออกมาใหม่

มิเตอร์เข็มสายสีดำเป็นไฟบวก
สายสีแดงจะเป็นไฟลบหรือกราวด์
  การวัดด้วยมิเตอร์เข็มย่านX1
จะมีไฟออกมา3โวลท์ 150MA
ส่วน3โวลท์150MA ที่ว่านี้คือขณะยังไม่มีโหลด
ถ้าเรานำสายมิเตอร์เข็มมาจึ้ติดกัน
จังหวะนี้จะได้ประมาณ150MA
แต่โวลท์จะตกเหลือ0โวลท์
เพราะเป็นการช็อทตรงนั่นเอง
การวัดในย่านX1นี้จะแม่นยำกว่าย่านX10
ย่านX10จะมีไฟออกมาที่3V 15MA

ส่วนการวัดด้วยมิเตอร์ดิจิตอลFLUKE115
ปรับไปย่านไดโอด ย่านนี้จะมีไฟออกมา
2.5V 860 uA
สายสีแดงเป็นไฟบวก
สายสีดำเป็นไฟลบ
ซึ่งจะตรงข้ามกับมิเตอร์เข็ม

การวัดดิบคือการวัดในวงจรโดยไม่ต้องเสียบไฟ
เรียกว่าเป็นการวัดดิบ

การวัดดิบด้วยมิเตอร์เข็มย่านX1 จะแม่นยำถึง100%
การวัดดิบด้วยมิเตอร์เข็มย่านX10 จะแม่นยำ80%
การวัดดิบด้วยมิเตอร์ดิจิตอล จะแม่นยำประมาณ70%

การวัดดิบลักษณะช็อท
มิเตอร์เข็มย่านX1และย่านX10และมิเตอร์ดิจิตอล
สามารถวัดดิบลักษณะช็อทได้แม่นยำ100%
แต่มีอีกกรณีอาจโดนหลอกได้
คือบางครั้งอาจมีการต่อคร่อมขดลวดได้
เช่นไดโอด4148 ต่อคร่อมขดลวดปล่อยเหรียญ
หรือHOROUTในTV ก็จะต่อคร่อมขดลวดHOR DRIVE
เป็นต้น

การวัดดิบลักษณะขาดหรือยืด
  มิเตอร์เข็มย่านX1 วัดได้100%
เพราะไม่มีวงจรอะไรที่จะจัดวงจรต่ำกว่าย่านX1นั่นเอง
  มิเตอร์เข็มย่านX10 วัดได้80%
เพราะในวงจรมักจะจัดความต้านทาน
อยู่ในย่านใกล้กับย่านX10 ทำให้หลงทางได้ง่าย
  มิเตอร์ดิจิตอล วัดได้70%
สาเหตุเพราะ ถ้าที่ตัวCหรือคาปาซิเตอร์
มีไฟค้างอยู่แม้เพียงเล็กน้อย
ก็จะทำให้การวัดเพี้ยนเป็นโอมห์สูงทันที
และถ้าCที่มีค่าเป็นร้อยโวลท์แม้ดึงไฟออก
ก็อาจจะมีไฟตกค้างได้
ดังนั้นการวัดต้องคลายประจุก่อน
ถ้าไม่งั้นอาจทำให้มิเตอร์พังได้ทันที

การวัดดิบทรานซิสเทอร์
ด้วยมิเตอร์เข็มย่านX1 และย่านX10
ตัวเลขที่เข็มขึ้นจะไม่แน่นอนแล้วแต่ยี่ห้อของมิเตอร์นั้นๆ

สายสีดำไฟบวกจับที่ขาใดขาหนึ่งเป็นหลัก
สายสีแดงไฟลบจับ2ขาที่เหลือตามลำดับ
จะต้องขึ้นประมาณเลข7ทั้ง2ขา
ถ้าไม่ได้ให้ย้ายสายสีดำไฟบวกไปจับขาอื่นเป็นหลักต่อไป
  ถ้าไม่ได้ให้ใช้สายสีแดงไฟลบจับเป็นหลักบ้าง
แล้วใช้สายสีดำไฟบวกไปจับ2ขาที่เหลือตามลำดับ
ทำไปเรื่อยๆ
ถ้าทรานซิสเทอร์ดีจะต้องมีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดแล้วได้
คือขึ้นประมาณเลข7ทั้ง2ครั้ง
ถ้าครั้งที่ได้
ใช้สายสีดำไฟบวกP จับไว้เป็นหลัก
ก็แสดงว่าเป็นชนิดNPN
โดยสายที่จับไว้เป็นหลักจะเป็นขาB(BASE)
และอักษรชนิด จะอยู่ตรงกลางเสมอ
ถ้าครั้งที่ได้
ใช้สายสีแดงไฟลบN จับไว้เป็นหลัก
ก็แสดงว่าเป็นชนิดPNP
โดยสายที่จับไว้เป็นหลักจะเป็นขาB(BASE)
และอักษรชนิด จะอยู่ตรงกลางเสมอ

ถ้าวัดได้อย่างนี้ก็แสดงว่าดีไม่เสีย
แต่ถ้าวัดรั่วเล็กน้อย จะไม่สามารถวัดในวงจรได้

ถ้าวัดขึ้นประมาณเลข7ทั้ง2ครั้ง วิเคราะห์ได้ดังนี้
ถ้าวัดด้วยย่านX1 ก็แสดงว่าดี100% ฟันธงได้เลย
ถ้าวัดด้วยย่านX10 ก็แสดงว่าดี80%
เพราะย่านX10จะมีโอมห์ใกล้เคียงกับวงจรอาจทำให้หลงได้

ถ้าวัดได้ประมาณเลข7 เพียง1ครั้ง
แต่อีกครั้งวัดได้ประมาณเลข10 ก็แสดงว่า
ทรานซิสเทอร์ตัวนั้นขาดหรือยืดแล้ว
แต่ที่วัดขึ้นเป็นเพราะวัดโอมห์ในวงจรแทน
ถ้าวัดได้อย่างนี้แสดงว่าทรานซิสเทอร์ขาดหรือยืด
ถ้าวัดด้วยย่านX1 ก็แสดงว่าขาด100%
ถ้าวัดด้วยย่านX10 ก็แสดงว่าขาด100% เช่นกัน
ฟันธงได้เลยครับ

ถ้าวัดได้ประมาณเลข7 เพียง1ครั้ง
แต่อีกครั้งวัดได้เลข4 วิเคราะห์ทรานซิสเทอร์ได้ดังนี้
ถ้าวัดด้วยย่านX1 ก็แสดงว่ารั่วหรือช็อท100%ฟันธงได้เลยครับ
ถ้าวัดด้วยย่านX10 ก็แสดงว่ารั่วหรือช็อทเพียง80% เท่านั้น
เพราะอาจเป็นการวัดโอมห์ในวงจรแทน

ถ้าวัดได้ประมาณเลข7 เพียง1ครั้ง
แต่อีกครั้งวัดได้ต่ำกว่าเลข2 วิเคราะห์ทรานซิสเทอร์ได้ดังนี้
ถ้าวัดด้วยย่านX1หรือย่านX10
ก็แสดงว่าช็อท100% เหมือนกันฟันธงได้เลยครับ



ไม่มีความคิดเห็น: